ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คณิตศาสตร์ในพระพุทธศาสนา

คณิตศาสตร์ในพระพุทธศาสนา
สมการของเอกภพไม่มีกำเนิดกับวัฏสงสาร
คณิตศาสตร์ในพระพุทธศาสนา (ตอนที่ 1) พระ พุทธศาสนาสอนให้มนุษย์เข้าสู่กระแสแห่งการพ้นทุกข์ คือ พระนิพพานเป็นการพ้นจากวัฏสงสารโดยสิ้นเชิง มนุษย์มีนามและรูปประกอบกันเกิดเป็นพลังงานที่ไม่รู้จักความหมดสิ้นจนกว่าจะ ถึงพระนิพพาน นามรูปนี้อาศัยอยู่ในกายภาพของเอกภพ ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับดาวและกาแล็กซีอยู่มีผู้กล่าวว่า "พระเจ้าเป็นผู้สร้างเอกภพ" คำถามที่ตามมาคือ "ใครสร้างพระเจ้า" ในทางศาสนาพราหมณ์ "พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก" คำถามที่ตามมาคือ "ใครสร้างพระพรหม" แท้จริงแล้วความไม่มีเป็นผู้สร้างทุกอย่างย้อนกลับมาพิจารณาเอกภพของเรา
ไอน์สไตน์ ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ พ.ศ.2460 (ผู้ไม่นับถือศาสนาใดเลยกล่าวว่าถ้าฉันจะนับถือศาสนา ฉันจะนับถือศาสนาพุทธ เพราะพุทธศาสนามีแนวความคิดในเชิงควันตัม) คิดว่า "เอกภพ ปิดหยุดนิ่งสม่ำเสมอเหมือนกันทุกทิศทุกทางไม่ขยายกว้าง" แต่ผลการคำนวณกลับตรงกันข้าม ถ้าเอกภพปิดจะเกิดการหดตัวแทนที่จะหยุดนิ่ง เพราะการมีมวลสารที่สม่ำเสมอมวลสารจะดึงดูดซึ่งกันและกัน ในสมัยนั้นไม่ยอมคิดว่าเอกภพหดตัวเชื่อว่าเอกภพมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ เพื่อแก้ปัญหานี้ ไอน์สไตน์จึงเพิ่มตัวแปรเอกภพเข้าไปในทฤษฎีสัมพันธภาพ โดยหวังว่าเอกภพไม่หดตัวหยุดนิ่ง ไอน์สไตน์จึงตั้งทฤษฎี "เอกภพไม่มีกำเนิด" สอดคล้องกับวัฎสงสารในทางพระพุทธศาสนา
พ.ศ.2456 ฟรีดมานน์ นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ชาวรัสเซียพบว่า เอกภพไม่คงที่คงจะต้องขยายออกหรือหดเข้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
พ. ศ.2472 ฮับเบิล นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐสำรวจจักรวาลด้วยกล้องโทรทัศน์พบว่า เอกภพกำลังขยายออก ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์หลายท่านตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการระเบิด ใหญ่ (Big Bang) ขึ้น ซึ่งโดยหลักสมดุล เมื่อมีการขยายออกก็ย่อมจะต้องมีการหดเข้าเหมือนกับการโยนก้อนหินลงในน้ำที่ มีจอกแหน เมื่อจอกแหนขยายออกเป็นวงกว้างแล้วก็จะย้อนกลับเข้ามาปิดสนิทดังเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้เอกภพย่อมมีจุดกำเนิด (singularity)
พ. ศ.2591 กามอฟ นักฟิสิกส์ชาวรัสเซียกำลังคิดค้นเกี่ยวกับการเกิดธาตุ กลับบรรลุถึงข้อสรุปว่าเอกภพมีการระเบิดใหญ่ เพราะเอกภพส่วนใหญ่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน ในอะตอมจะประกอบด้วยโปรตอน และอิเล็กตรอน ทำให้เกิดนิวตรอน เมื่อเอกภพขยายตัวขึ้นนิวตรอนจะสลายตัวแบบเบตาออกเป็นโปรตอนและอิเล็กตรอน เมื่อโปรตอนและนิวตรอนทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นดิวทิเรียม (ไฮโดรเจนหนัก) ดิวทิเรียมทำปฏิกิริยากับนิวตรอนเป็นไตรเทียมสลายตัวเป็นฮีเลียม 3 ฮีเลียม 3 ทำปฏิกิริยากับนิวตรอนเป็นอะตอมฮีเลียม ต่อจากนี้ปฏิกิริยานิวเคลียร์จะเกิดต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่เกิดธาตุหนัก ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ในเอกภพ ซึ่งเอกภพนี้มีธาตุเบาสองธาตุคือ ไฮโดรเจน 75% และฮีเลียม 24% ส่วนธาตุอื่นๆ รวมกันอีก 1% และให้ข้อสรุปอย่างหนักแน่นว่า เอกภพจะต้องเกิดมาจากการระเบิดใหญ่เท่านั้น จึงกลายเป็นมาตรฐานของเอกภพในปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจคือขณะที่เกิดการระเบิดใหญ่นั้น จะต้องมีความร้อนมากและจะต้องมีร่องรอยเหลืออยู่ และถ้าเอกภพเย็นลง เมื่อขยายตัว จะทำให้แรงที่เกิดจากการระเบิดใหญ่ขณะเย็นลงมีความยายคลื่นยาวขึ้น กามอฟประมาณว่าขณะนั้นความยาวคลื่นจะอยู่ในเขตไมโครเวฟ ซึ่งเทียบอุณหภูมิได้ 7 องศาเคลวินสมบูรณ์
พ.ศ.2507 เพนเซียสและวิลสัน ชาวสหรัฐอเมริกาพบโดยบังเอิญว่าเอกภพนี้เต็มไปด้วยคลื่นไมโครเวฟขนาด 3 k นี่คือร่องรอยของการระเบิดใหญ่ตามที่กามอฟพยากรณ์ไว้
จาก ทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ การค้นพบเอกภพกำลังขยายตัวและร่องรอยของการระเบิดใหญ่ ทำให้รู้ว่าเอกภพมีจุดเริ่มต้นแต่นี่ไม่ใช่สิ่งสิ้นสุดของปัญหาเอกภพ
ปัญหา คือ จุดเริ่มต้นเอกภพมาอย่างไร เพราะอะไรฮอว์คิงและเพ็นโรสเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ว่า ตอนที่เอกภพกำเนิดนั้น อุณหภูมิและความหนาแน่นเป็นอนันต์ทั้งคู่ เนื่องจากจุดโดด (singularity)

ใน การศึกษาความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ศึกษาแต่เพียงทางกายภาพ ไม่ได้ศึกษาถึงจิตที่มีความมหัศจรรย์อย่างล้ำลึก ซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดแกนหมุนของเอกภพและการหมุนนั้น คือแรงทั้งสี่ดังที่กล่าวมาแล้ว
ในทางพุทธ ศาสนานั้นสิ่งนี้คือ วัฏสงสารซึ่งแฝงอยู่ด้วยนามและรูป รูปเป็นคูหาที่ให้จิตซึ่งเป็นนามธรรมอยู่ด้วยอวิชชา ทำให้เกิดการหมุนระหว่างนามกับรูปอยู่โดยตลอดเวลาไม่รู้จักหยุดนิ่งไม่ รู้จักตายจนกว่าจิตที่เป็นธาตุรู้จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อนั้นนามและรูปไม่มีเหลือเลย
ระบบ สุริยะจักรวาลเป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีทางช้างเผือกก็เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ กาแล็กซีทางช้างเผือกใช้เวลาหมุนรอบตัวเองกินเวลา 225 ล้านปี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือกคือ 100,000 ปีแสง โดยที่ระบบสุริยะจักรวาลอยู่ห่างจากศูนย์กลางกาแล็กซีทางช้างเผือก 30,000 ปีแสง ( 1 ปีแสงมีระยะทาง 94605 x 1012 กิโลเมตร)
สรรพ สิ่งทั้งหลายทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณนั้น จะเคลื่อนไหวโคจรอยู่ตลอดเวลาไม่มีการหยุดนิ่ง โดยมีการโคจรซ้อนการโคจรอยู่หลายชั้นหลายเชิงนอกเหนือการคาดคิดของมนุษยชาติ
ในระบบสุริยะจักรวาลนักคณิตศาสตร์รู้ว่าในเชิงกายภาพนั้น ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
ในส่วนของจิตวิญญาณนั้น พระพุทธศาสนารู้ว่าชมพูทวีปคือ โลกเป็นศูนย์กลาง เรียกว่าโลกธาตุและยังมีทวีปอื่นๆ อีกดังนี้
1. โลกธาตุ หมายถึง ชมพูทวีป
ชมพู ทวีปเป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ่งวิสุทธิจิต ความบริสุทธิ์แห่งจิตหรือจิตที่บรรลุแล้ว ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลยเหลือเพียงสติของญาณทัศนะ หรือการมองเห็นในสภาวะของสัจจะธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติอย่างถูกต้อง
2. กาฬทวีป หมายถึง โลกของกาลเวลา
กาฬทวีปเป็นโลกของกาลเวลาที่เป็นปัจจุบันหรือความเปลี่ยนแปลงในชมพูทวีป ซึ่งขึ้นอยู่กับการกระทำให้เกิดผลบุญบารมีและวิบากกรรม
3. เทวินทวีป หมายถึง โลกเทวดา
เท วินทวีปเป็นทวีปที่ล่องลอยอยู่เหมือนชมพูทวีปและดวงดาวต่างๆ ในกาแล็กซี แต่โลกเทวดามีกายละเอียดเป็นกายทิพย์ เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ไม่มีความละเอียดพอจึงค้นไม่พบ ยกเว้นแต่ผู้ที่มีจิตละเอียดจึงจะพบได้ จิตที่มีความหยาบกว่าความเป็นทิพย์ก็ไม่อาจพบได้
4. โอปมาทวีป หมายถึง โอปาติกะหรือจิตวิญญาณในลักษณะกายทิพย์
โอ ปมาทวีปลักษณะความเป็นกายทิพย์เช่นเดียวกับเทวินทวีป แต่อาศัยแฝงตัวอยู่ในชมพูทวีป หรือใต้ผิวโลก นอกจากนี้ยังล่องลอยอยู่ในขอบเขตของระบบสุริยะจักรวาล
5. มหาราช ประกอบด้วย เทวโลก เทวพรหม โอลาโร (โลกพรหม) โอภาโส (อริยะพรหม) โลกุตตระ (พระนิพพาน)
มหาราชอยู่ในอาณาบริเวณของพระเกตุ พระแก้ว พระจุฬามณี โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่โลกุตตระหรือโลกแห่งพระนิพพาน

โดย รองศาสตราจารย์ศักดา บุญโต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น